Articles In Their View

In Their Views: ชวนมองจิตวิเคราะห์กับการเมือง เมื่อความขาดๆ เกินๆ หล่อเลี้ยงทุนนิยม กับศ. สรวิศ ชัยนาม

เรียบเรียงโดย ธีทัต จันทราพิชิต

พอรู้มาว่าอาจารย์สนใจเรื่องพวกจิตวิเคราะห์ หรือ Psychoanalysisมันมีความเกี่ยวพันกันไหมกับความเป็นซ้ายของอาจารย์

         ผมว่ามันมีความเกี่ยวพันบางอย่างระหว่างทั้งสอง หรืออย่างน้อยก็คือเราสามารถใช้กรอบคิดแบบจิตวิเคราะห์มามองในมุมของฝ่ายซ้ายอย่างเช่นการวิพากษ์ทุนนิยมได้ เอาจริงๆ ตัวจิตวิเคราะห์เองก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นซ้ายหรือเป็นขวา อย่างฟลอยก็อนุรักษ์นิยม แต่เป็นอนุรักษนิยมในทางที่ดีหน่อยไม่ใช่พวกขวาจัด ส่วนลากองก็เป็นพวกอนุรักษ์นิยมไม่ต่างกัน บิดาของวิชานี้จึงไม่ได้เป็นคนที่ก้าวหน้าที่สุดในทางการเมืองแต่อย่างใด

         เข้ามาเรื่องตัววิชา จิตวิเคราะห์ให้ความสำคัญกับsubject of desire ซึ่งจะแตกต่างจากสังคมศาสตร์ทั่วไปที่Subject หรือตัวแสดงจะอิงกับอำนาจ และมีเหตุผลที่พยายามปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ subject of desire เขาว่ากันว่าช่วยหักล้างทุนนิยมได้ เพราะ subject of desire เป็น subject ที่คอยขัดขาตัวเองตลอดเวลา ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองแต่ขัดขากับตัวเองตลอดเวลา

         นักจิตวิเคราะห์ให้ความสำคัญกับ subject ในฝั่งปรัชญาร่วมสมัยก็พยายามจะปฏิเสธ อย่างเช่น เราต้องให้ความเป็นตัวแสดงกับสิ่งของด้วยนะ พวกรถถัง เครื่องบิน เรือดำน้ำ มันก็มีอิทธิพลต่อการเมือง เป็นตัวแสดงเหมือนกันนะไม่ใช่แค่มนุษย์

         ความน่าสนใจของจิตวิเคราะห์ subject มันไม่ใช่ปัจเจกเสียทีเดียว แล้ว subject ในจิตวิเคราะห์ให้ทางเลี่ยงทางหนึ่งกับสังคมศาสตร์ เพราะสังคมศาสตร์มักจะอยู่ในดีเบทว่า nature vs society มันเป็นธรรมชาติหรือการประกอบสร้างทางสังคม แต่ psychoanalysis  บอกว่ามันมี category ที่3 ไม่ใช่ทั้ง cultureไม่ใช่ทั้ง society นี่ก็คือsubject ความเป็น subjectก็คือ เราจะไม่ฟิต เราจะไม่ลงรอยกับทั้งธรรมชาติ และสังคม นี่คือ ความแปลกประหลาดของมนุษย์ อย่างนั้นเราก็เลยมักจะทำอะไรที่ไม่ค่อยเห็นในโลกของสัตว์มากนะ ไปจนถึงทำอะไรที่ขัดกับผลประโยชน์ของตัวเองโดยไม่รู้ตัว

         แล้วความปรารถนาหรือ desire หมายความว่าอะไร desireเท่ากับความขาดพร่อง เรา desire เพราะเราขาด แต่เราขาดอะไร พอคิดดูแล้วเราดูจะไม่ได้ขาดสิ่งใดเป็นพิเศษ และเพราะเราไม่ได้ขาดอะไร เวลาเราได้อะไรบางอย่าง มันเลยไม่ค่อยน่าพอใจ สังเกตเวลาเราอยากได้อะไร เราอยากได้จะเป็นจะตาย แบบฉันจะเอาอันนี้ให้ อันนี้ต้องเป็นของกู แต่พอได้มาแป๊บๆ ก็รู้สึกเบื่อ

ฟังดูแล้วความปรารถนาดูจะไม่มีวันเติมเต็มเลย

ลากองจะพูดตลอดเวลาว่า desire ไม่มีวัตถุอะไรที่จะมาเติมเต็มได้  หัวใจของ desire ก็คือ การผลิตซํ้าตัวเอง อย่างที่บอกเพราะเราไม่ได้ขาดอะไร แต่ขณะเดียวกันเราก็แอบรู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่จะมาเติมเต็มเราได้ ทั้งหมดเกิดจากแฟนตาซีมากมายที่บอกเราแบบนั้น 

ถ้าใช้ศัพท์เฉพาะลากองจะเรียกมันว่า objet petit a อธิบายมันคือ สิ่งที่จะมาเติมเต็มเราแต่เราไม่มีวันจะสามารถได้มันมาครอง ลักษณะของ objet petit a ไม่ใช่วัตถุที่ไม่มีอะไรเลยหรือไม่มีอยู่จริง เป็น inmaterial material วัตถุที่อวัตถุ เป็นวัตถุที่เป็นไปไม่ได้ที่จะได้มา แต่ถ้าเราได้มันมาเราก็จะถูกเติมเต็ม 

แรงปรารถนาทำให้เราเห็นอะไรบางอย่างมีobjet petit a มาเติมเต็มเราได้ ซึ่ง objet petit aไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งของทั่วไปนี่แหละ หากมันมีแรงปรารถนาใส่เข้าไปด้วย ถ้าปราศจากแรงปรารถนาคุณไม่มีวันเห็นมันเป็น objet petit aเด็ดขาด 

ยกตัวอย่างเรื่องความรัก คุณน่าจะเคยเจอคนที่คุณมองแล้วรู้สึกแบบ คนๆ นี้พิเศษจังเลย แต่เพราะคุณเห็นนั้นแหละ คนๆ นั้นเลยพิเศษ อย่างที่ผมชอบเล่า บางทีคุณก็ประหลาดใจทำไมเพื่อนสนิทไปตกหลุมรักคนๆ หนึ่งได้ ทั้งๆ ที่คุณไม่เห็นมันพิเศษตรงไหนก็แน่ล่ะมันไม่ใช่แรงปรารถนาของคุณ แต่เป็นแรงปรารถนาของเขา เขาเลยเห็นว่าคนนี้มีความพิเศษ 

ถ้าให้ยกตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อยในทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ชัดๆ ก็หมู่เกาะทะเลจีนใต้ มันคือ หินโสโครกอยู่กลางทะเลชัดๆ แต่กลับแย่งกันจะเป็นจะตาย เพราะคิดว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ เป็นศักดิ์ศรีของชาติ พอมันมีอารมณ์ใส่เข้ามา แรงปรารถนาก็ทำให้หินโสโครกมีความหมายเลอค่าได้

สิ่งที่ต้องเน้นย้ำก็คือ เราไม่สามารถปรารถนาได้โดยตัวเอง สิ่งหนึ่งน่าปรารถนาเพราะแฟนตาซีสอนเราว่าใช่ แฟนตาซีสอนเราให้ปรารถนา บอกเราว่าทำไมอันนี้มันน่าสนใจ มันจะเติมเต็มเรายังไง เราจะได้มันยังไง อะไรเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้เราสมบูรณ์ พอพูดเรื่องdesire ยังไงก็ต้องพูดถึงแฟนตาซี

ดูแล้วความปรารถนาจะมีมุมที่น่าจะเข้ากับการที่ฝ่ายซ้ายใช้วิพากษ์ทุนนิยมเลย เหมือนที่อาจารย์บอกตอนแรกว่าสามารถใช้กรอบคิดแบบจิตวิเคราะห์ในการมองได้จะว่าอาจารย์เป็นคนแรกๆ ที่คิดเรื่องนี้เลยหรือเปล่า

เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่อะไรที่ original ถ้าติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้าย แนวคิดสายนี้มีความเคลื่อนไหวมาอย่างน้อยสอง-สามทศวรรษแล้ว

คงต้องเริ่มจากชิเชค แน่นอนชิเชคไม่ใช่ฝ่ายซ้ายคนแรกๆ ที่พยายามดึงฟลอยหรือดึงลากองมาแล้วกัน ก่อนหน้านั้น Louis Althusser ได้รับอิทธิพลจากลากองมากในความคิดเรื่องอุดมการณ์ แต่ชิเชคช่วยทำให้เราคิดถึงสิ่งต่างๆ ได้คมขึ้นโดยเฉพาะวลีเขาที่บอกว่า enjoyment as a political factor (ความสนุกสนานในฐานะปัจจัยทางการเมือง) เนืองจากเราทุกคนล้วนเป็นทาสของความปรารถนา ความปรารถนาคือความขาด อีกด้านก็ต้องเป็นส่วนเกิน เมื่อเกินก็ต้อง exceptหรือยกเว้น 

ขาดพร่องกับล้นเกินก็เลยเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน เพราะเราขาดพร่องเราเลยล้นเกิน ไม่มีอะไรมาเติมเต็มเราได้ และเราต้องการอะไรที่สุดๆ ล้นเกินเพื่อมาเติมเต็มเรา enjoyment มันก็คือ ความล้นเกิน ซึ่งจะล้นได้นั่นหมายความว่ามันต้องมีกรอบ ไม่มีกรอบมันก็ไม่มีวันที่จะพ้นกรอบ เราเลยต้องเผชิญกับอะไรบางอย่างที่มาขัดขวาง ตีกรอบเราให้เราสามารถที่จะล้นเกินได้ ถ้ามันไม่มีสิ่งที่ขัดขวางมันก็ไม่สามารถล้นเกิน อารมณ์เหมือนกฎมีไว้แหกประมาณนั่นแหละ

ความ enjoy เลยต้องมีกรอบ การจะกินบุฟเฟ่ต์ให้ enjoy เลยต้องตั้งเวลาให้กินเพราะถ้าไม่มีเวลามันกินได้ทั้งวัน ถ้าไม่มีมันไม่enjoy ยกเว้นเราจะมองว่ามันแหกบรรทัดฐานเรื่องสุขภาพ ซึ่งยิ่งเราสนใจเรื่องสุขภาพมากเท่าไหร่ การทำลายสุขภาพอย่างการกินบุฟเฟ่ต์หรือการสูบบุหรี่ก็ยิ่ง enjoy เข้าไปใหญ่

มันเลยอธิบายได้ไงว่าทำไม PC ถึงไม่น่าเวิร์ค เพราะในโลกของPC หรือ Political Correctness Hate Specch มันสร้าง enjoyment มาก ยิ่งมีบรรทัดฐาน การที่ด่าหรือใช้ศัพท์ที่รุนแรง มันยิ่งเร้า enjoyment เร้าให้คนพูดจาหยาบคายบูลลี่ อีกฝ่ายหนึ่ง แล้วยิ่งจะทำให้การบูลลี่มี enjoymentมากขึ้น

งั้นความสุขหรือ enjoyment ก็มาจากความละเมิดหรือทำสิ่งที่ไม่ดีงั้นเหรอ

ก็ไม่เชิง คอนเสปเรื่องความสุข จิตวิเคราะห์แยกระหว่างPleasureกับ enjoymentPleasureเป็นสิ่งที่ดีกับตัวเราเพื่อผลประโยชน์ของเรา ในขณะเดียวกันภายใต้นี้มันก็ซ่อน enjoyment ไว้ได้เหมือนกัน โดยenjoyment มันมาจากการเสีย ในการล้นของมัน มันจะไม่เป็นผลดีกับเรา ถ้า Pleasureคือ สมดุล enjoyment คือ การขาดสมดุล

เท่าที่อาจารย์พูดมานับว่าเป็นกรอบในการมองการเมืองที่น่าสนใจทีเดียว

คุณูปการของจิตวิเคราะห์ต่อการมองการเมืองจะมีมากโดยเฉพาะเวลาเราศึกษาอุดมการณ์ มันบังคับให้เราศึกษาแฟนตาซี บังคับให้เราศึกษา enjoyment ถ้ามาสายชิเชค พวกอุดมการณ์มันก็แค่บอกว่าเราต้องยอมรับความจริง แล้วบอกว่าเราทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้หรอกต้องทำตามที่อุดมการณ์บอกเท่านั้น

มันจืดชืด ไร้ความน่าดึงดูดสิ้นดี คิดภาพคุณโดนกรอกหูว่าคุณทำอะไรไม่ได้ เกิดมาจนก็จงจนไปจนวันตาย คนปกติมันย่อมไม่โอเค ยกเว้นเกิดมาได้ประโยชน์โดยธรรมชาติ จิตวิเคราะห์พยายามจะบอกว่าอย่างนี้ก็ซวยสิ คนไม่ลุกขึ้นมาต่อต้านแย่เหรอ คำตอบก็เลยเป็นเพราะงั้นอุดมการณ์เลยต้องพ่วงแฟนตาซีมาด้วย ซึ่งก็พยายามจะตอบว่าทำไมมันถึงน่าดึงดูด ทำไมเอ็งควรจะอยู่ต่อไปในอุดมการณ์

เช่นอุดมการณ์ของเสรีนิยมใหม่ก็คือ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก อ่อนแอก็แพ้ไป ฟังแล้วไม่น่าดึงดูดเลย มันจึงต้องมากับแฟนตาซี ขืนบอกผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่ชนะ คนที่แพ้แน่ๆ ที่ไหนมันจะไปอยู่ มันเลยต้องให้สัญญาว่าทุกคนสามารถเป็นผู้ชนะได้  ถ้าพยายามยังไงมึงก็จะเป็นผู้ชนะ เหมือนฉากสุดท้ายของพาราไซค์ที่ตัวเอกมันเพ้อว่ามันจะได้ทุกอย่างถ้ามันพยายาม แฟนตาซีจึงทำให้อุดมการณ์มันน่าดึงดูด อุดมการณ์ในแบบมาร์กซ์มันแทบเป็นสิ่งที่หลอกลวง แต่จริงๆ หลอกลวงไม่เพียงพอ อุดมการณ์มันไม่ใช่แค่หลอกคุณ แต่มันต้องเร้า กระตุ้นคุณด้วย

เป็นเหตุผลว่าทำไมจิตวิเคราะห์ถึงบอกว่าคุณต้องไปดูแฟนตาซีของแต่ละอุดมการณ์ว่าเป็นยังไง อย่าไปคิดว่าเราหักล้างอุดมการณ์ด้วยเหตุผลได้ แต่บางทีคนที่ติดอุดมการณ์กับอุดมการณ์ไม่ใช่ในระดับของความรู้ แต่เป็นระดับของ enjoyment บางทีการกระทำมันไม่ได้ยึดติดกับความรู้เลยแต่มันยึดติด enjoyment หรือแฟนตาซี

ฝ่ายขวาของอเมริกาที่เสียประโยชน์จากทรัมป์ก็ยังเลือกทรัมป์เพราะมันเลยระดับของเหตุผลไปแล้วนั่นเอง

       เป็นเรื่องของ enjoyment มันไม่สามารถหักล้างกันด้วยข้อมูล ป้อนความจริงหรือข้อเท็จจริงไป ยังไงก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการกระทำของคนได้ คนบางคนยึดติดกับอุดมการณ์ไม่ใช่เพราะขาดความรู้ แต่ยึดติดด้วยอะไรบางอย่างที่อยู่ในระดับของแฟนตาซี

         อย่างที่ว่ากรณีทรัมป์ ถึงโดนัล ทรัมป์จะพ่ายแพ้ แต่ได้คะแนนไปถึงเจ็ดสิบล้านเสียงมากกว่าสมัยโอบาม่าชนะเลือกตั้ง เรียกว่าถึงแพ้แต่คะแนนเสียงมาเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ของประเทศ ทั้งๆ ที่นโยบายก็เป็นพวกนีโอฟาสซิสต์ แล้วการจัดการกับโควิดก็ล้มเหลว แต่ก็ยังมีคนโหวตตั้ง70 ล้านคน ไม่ใช่แบบที่ฝ่ายเดโมแครตฝันว่าจะมีคลื่นสึนามิสีนํ้าเงิน ที่ซัดทรัมป์ออกไปแล้วซัดไบเดนเข้าสู่ทำเนียบขาวแบบสบายๆ แถมคนที่เลือกก็มีตั้งแต่ผู้หญิงผิวขาว คนลาติโน่ ยันพวก Queerทั้งๆ ที่ทรัมป์ทั้งโอ้อวดเรื่องการละเมิดทางเพศ เหยียดสีผิว และเป็นhomopobia

         อะไรที่ทำให้คนเลือกผู้แทนคนหนึ่งที่ขัดกับผลประโยชน์ของตัวเอง เพราะมันมีแฟนตาซีที่เร้าอารมณ์มากกว่า ด้านหนึ่งการเมืองต้องทำให้คนอิ่มท้องด้วย แต่คนไม่ได้เลือกเพราะท้องเสมอไป บางทีเขายอมไม่อิ่มท้องหรือยอมหิว ถ้ามันตอบโจทย์แฟนตาซีของเขาได้

         อย่างเช่นชาตินิยม ในสังคมศาสตร์แม้แต่ในไทย ชาตินิยมเป็นแค่ imagine เป็นชุมชนจินตกรรม เป็นเรื่องของวาทกรรม แต่ทำไมชาตินิยมที่ถูกสร้างขึ้นมันถึงโดนใจ ทำให้คนลุ่มหลงยึดติด ขนาดเราเปิดโปงว่ามันถูกสร้างขึ้นมาได้ยังไง แต่มันก็ยังอยู่และมีอิทธิพลจนถึงทุกวันนี้ แสดงว่ามันไม่ใช่เรื่องของการถูกประกอบสร้างขึ้นมาแล้วแหละ ทำไมวาทกรรมแบบชาตินิยมมันถึงโดนใจคน ต้องไปศึกษาว่าแฟนตาซีมันอยู่ตรงไหน enjoymentมันอยู่ตรงไหนในการเป็นชาตินิยม enjoyment ก็คือ กูมีสิ่งนี้ที่พิเศษ 

แล้วอาจารย์พอขยายความหอมหวานของชาตินิยมให้หน่อยได้ไหม

แต่ละชาติจะมี the thing เป็นของตัวเอง The thingเป็น impossible thing มันไม่ได้มีอยู่จริงแต่มันเป็นสิ่งที่บอกถึงความเป็นชาติ คือสิ่งที่ทำให้ชาติของเราสมบูรณ์ ทำให้เราแตกต่างจากชาติอื่น บางทีอาจจะพื้นๆ ก็ได้ ตราบใดที่รักษา the thing สัญญาว่าจะปกป้อง the thing นักการเมืองก็จะสามารถชนะเลือกตั้งได้ ถึงนโยบายจะเลวร้ายแค่ไหน แต่บอกว่าจะปกป้อง the thing ก็อยู่ในอำนาจได้

โทนี่ แบลร์เคยพยายามจะยกเลิกนโยบายล่าหมาป่า ซึ่งมันมีแค่ชนชั้นนำเท่านั้นที่ล่าหมาป่า แต่เสียคะแนนไปจำนวนมาก เพราะนี้คือ ความเป็นอังกฤษ โจทย์ก็คือ ห้ามขโมย the thingชาติไหนห้ามเหมือน the thing จะมีคุณค่าต่อเมื่อมีคนกลุ่มอื่นที่มี the thing ไม่เหมือนเราแต่พยายามจะขโมย the thing ของเรา เราพิเศษต่อเมื่อ the thingของเรากำลังสูญหายไป สิ่งสำคัญในวิธีคิดแบบนี้เป็นการที่ชาติพร้อมที่จะเสียthe thing ได้เสมอ มันมีคนพร้อมที่จะขโมยมันอยู่ตลอด โขนเลยต้องเป็นสมบัติของไทยแต่เพียงเจ้าเดียวห้ามเป็นสมบัติร่วมกันของภูมิภาค ชาตินิยมจึงสุ่มเสี่ยงที่จะมีศัตรูเสมอเพราะถ้าไม่มีศัตรู Thething ก็ไม่มีค่าอะไร

         ถ้าแบบนิทรรศการถอดรหัสความเป็นไทยของมิวเซียมสยามที่บอกความเป็นไทยเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย หลากหลายแล้วแต่คุณจะนิยามว่าเป็นไง แต่มันไม่ใช่ the thing  แต่มันไม่ใช่ชาติ ชาติไม่สามารถแล้วแต่ได้ ถ้ามันไหลลื่นมันไม่มีความหมาย ถ้ามันลื่นไหลแล้วคนจะขโมยหรือทำลายthething ได้ไง

อาการห่วง The thing เหมือนกับอาการหึงห่วงเลยนี่

         enjoymentเกิดขึ้นได้เมื่อมีอย่างอื่นเข้ามา ก็โยงไปได้กับปรากฎการณ์มากมาย ตั้งแต่ทำไมครูอนุบาลบูลลี่เด็ก ทำไมบาทหลวงถึงล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ทำไมมีความรุนแรงในค่ายทหารนำมาสู่ความสูญเสียชีวิต แม้แต่ UN peacekeeper ที่ถือบริการทางเพศเด็กในเขมรที่อายุตํ่ากว่าเกณฑ์ บางคนค้ามนุษย์เองด้วยซํ้า ซึ่งขัดแย้งกันอย่างน่ามหัศจรรย์มาก เพราะสิ่งเหล่านี้มันสร้างenjoyment ถ้าอยากได้ความสุขที่ล้นเกิน มันต้องละเมิดกรอบหรือกฎอะไรบางอย่าง

         ถ้ามองเห็นตรงนี้เราจะเริ่มเห็นด้านน่าดึงดูดของกฎหมาย ตัวกฎหมายปกติมันไม่น่าโคตรจืดชืดเลย สิ่งที่ทำให้มันน่าดึงดูดคือ ด้านมืดหรือด้านล่างของกฎหมาย เป็น superegoที่พยายามเย้ายวนให้คุณแหกกฎอยู่ตลอดเวลา

แล้วจิตวิเคราะห์เกี่ยวพันกับทุนนิยมยังไง

         ทุนนิยมสัญญาเรื่องอนาคตที่สดใสจากการบริโภค อย่าลืมว่า desire ขับเคลื่อนทุนนิยมโดนเฉพาะฝั่งการบริโภค โจทย์ก็คือ เราต้องการสิ่งนี้รุ่นใหม่มันจะดีขึ้น ทุนนิยมทำให้เราคิดว่า enjoyment มาจากการได้อะไรใหม่ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เรามองไม่เห็นว่า ภายใต้ทุนนิยมเรา enjoy จากการเสีย หรือเรา enjoyเมื่อเราไม่ได้สิ่งนั้นต่างหาก          แต่ทุนนิยมมันหลอกเราว่า enjoy มากจากการได้ทั้งๆ ที่ enjoy มาจากการเสีย จากการพลาดเป้า จากการที่สินค้าใหม่ก็ตามไม่สามารถเติมเต็มเราได้ เราบริโภคความไม่พอใจ แล้วมันก็อยู่ได้ แล้วเราก็ยังเล่นเกมนี้ต่อไป เพราะเรารู้สึกว่าเราจะ enjoyจากการได้อะไรบางอย่าง โดยที่เราลืมไปว่ามันเป็นเพราะเราไม่มีต่างหาก 

         เมื่อทุนอาศัย desire ที่หล่อเลี้ยงมัน ทุนนิยมจะไม่ชอบผู้บริโภคที่พอใจกับสิ่งที่ตนมี ไม่ใช่พอเพียงนะ เพราะวาทกรรมของคำว่าพอเพียงคือ มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อยภายใต้สังคมที่เหลื่อมลํ้า ทุนนิยมไม่ชอบผู้บริโภค ที่แบบรถกูกระป๋อง แต่กูรักของกู กูจะใช้รถกระป๋องแบบนี้ต่อไป 

         ซึ่งมันก็มีการพยายามแย้งแง่นี้ของทุนนิยม ในฝั่งยุโรปอเมริกามีการเรียกร้องสิทธิในการซ่อม ทำไมต้องเปลี่ยนมือถือทุกสองปี มันต้องมีสิทธิ์ในการซ่อม ทำไม่ไม่สร้างมือถือมาไม่ให้เปลี่ยนแบต 

อาจารย์พูดถึงเรื่อง enjoyment เราพอเข้าใจแล้วว่าฝ่ายขวามี enjoyment จากแฟนตาซีบางอย่างแล้วอะไรที่เป็น enjoyment แบบฝ่ายซ้าย 

         ถ้ามองเป็นสายจิตวิเคราะห์ ฝ่ายขวามีภาษีดีกว่า เพราะมันน่าดึงดูดกว่า ใช่ ให้เลือกระหว่างการสร้างสังคมแห่งความเสมอภาพกับการกำจัดคนชังชาติ อันหลังเร้าอารมณ์มากกว่าเห็นๆ

         ในเกมส์นี่ฝ่ายซ้ายเลยเหมือนต่อให้โดยปริยาย เพราะแรงปรารถนาของการปลดแอกมันไม่สร้าง enjoyment ดีเท่าฝ่าย โดยเฉพาะถ้าเรามองว่าเราขัดขาตัวเองตลอดเวลา แต่ข้อนี้อย่าลืมว่าจิตวิเคราะห์บอกว่านี่เป็นเรามีความต้องการในการขัดแข้งขัดขาตัวเองตลอดเวลา ชนิดที่เราไม่ยอมแม้แต่จะให้เราขัดแข้งขาตัวเองได้สำเร็จ เรียกว่าเราไม่เคยทำอะไรสำเร็จแม้แต่ขัดขาตัวเอง

         การเสียอาจเป็น enjoyment แบบซ้ายๆ อย่างที่บอก enjoyment เป็นสิ่งที่ไม่ได้เป็นผลดีต่อตัวเรา การเป็นฝ่ายซ้าย เราขัดกับบรรทัดฐานหลักของสังคม มีแต่เสียกับเสีย เสียหน้าที่การงาน เสียหน้า เสียตา เสียเกียรติ ถ้าอยู่บนบรรทัดฐานกับสังคมเราก็จะมีคนเชิดหน้าชูตา แต่มันก็ได้อาการเสียผู้เสียคนมาด้วย เรียกว่ามันไม่ได้มีไรดีกับเราขนาดนั้น 

         สุดท้ายก็กลับไปสู่บทสรุปเดิมเวลาทุนนิยมบอกเราว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง นั่นคือ สิ่งที่จิตวิเคราะห์หักล้าง จิตวิเคราะห์จะบอกว่าไม่ เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่จะขัดขาตัวเองตลอดเวลาอย่างไม่รู้ตัว เรามักจะไม่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองนั่นสร้างแต่ pleasure แต่เราเป็น subjectก็คือ desire เราต้องการenjoy ในการ enjoyมักจะขัดขา มักจะให้ชีวิตเราเหวี่ยง ทำให้ชีวิตเราขาดความสมดุล 

         ถ้าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่แสวงหาผลประโยชน์ของตัวเองตลอดเวลา เราก็ควรจะล้มล้างทุนนิยมไปตั้งนานแล้ว เพราะทุนนิยมไม่ได้เป็นผลดีกับตัวคุณและคนส่วนใหญ่ของโลกแบบนี้ อะไรที่ทำให้เรามองว่าเป็นเกมเดียวและเกมสุดท้ายอาจไม่ใช่แค่อุดมการณ์และข้อมูลที่บิดเบือน แต่ต้องกลับมาดูว่ามันมีแฟนตาซีอะไรที่มาหล่อเลี้ยงทุนนิยม อย่างเช่นสัญญาว่าทุกคนเป็นผู้ชนะได้ถ้าเพียงแต่พยายาม หรือสัญญาว่าปัญหาของเศรษฐกิจเสรีปัจจุบันไม่ใช่อะไรอื่นเลยแต่เป็นเพราะเสรีไม่พอ ทำให้มันเสรีขึ้นอีก คุณจะได้เป็นผู้ชนะ

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

%d bloggers like this: