ณัชชาภัทร อมรกุล

บทนำ บทความของ David Farrell เรื่อง “Democratic Innovation without Political Parties Should Be Unthinkable” ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Party Politics ปี 2025 เสนอข้อถกเถียงสำคัญเกี่ยวกับบทบาทของพรรคการเมืองในยุคที่ประชาธิปไตยถูกตั้งคำถามและความหวังต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนขยายออกนอกกรอบเดิม Farrell เป็นฝ่ายที่ปกป้องพรรคการเมืองจากข้อกล่าวหาว่าเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย และยังเสนอว่าหากปราศจากพรรคการเมือง นวัตกรรมเชิงประชาธิปไตยย่อมไม่อาจเกิดขึ้นหรือฝังรากลึกได้
ในฐานะนักวิจัยที่สนใจเรื่องการใช้เทคโนโลยีในการเสริมสร้างศักยภาพของพรรคการเมือง บทความนี้ให้มุมมองที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะเปิดประเด็นให้เห็นว่า พรรคการเมืองไม่เพียงเป็นเป้าหมายของการปฏิรูป แต่ยังสามารถเป็น เครื่องมือ ของการเปลี่ยนแปลงเองได้ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงการปรับใช้กระบวนการถกเถียงร่วมกัน (deliberative processes) และเทคโนโลยีดิจิทัลในการเปิดพื้นที่ให้สมาชิกมีส่วนร่วมในระดับที่ลึกขึ้น
1. พรรคการเมืองจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพราะอะไร Farrell ท้าทายแนวโน้มที่แยกพรรคออกจากการถกเถียงเรื่องนวัตกรรมประชาธิปไตย โดยเตือนว่าสถาปัตยกรรมประชาธิปไตยแบบไร้พรรคอาจล้มเหลวในการสร้างฉันทามติในสังคม เขาเสนอว่าในยุคที่สมาชิกพรรคลดลง ความเชื่อมั่นตกต่ำ และเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์ พรรคการเมืองจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียความชอบธรรมและพื้นที่ในสังคมการเมือง
2. พรรคการเมืองสามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมได้ 3 ด้าน Farrell เสนอกรอบวิเคราะห์การปฏิรูปของพรรคออกเป็น 3 มิติ:
- การปฏิรูประบบเลือกตั้ง (เช่น ลดอายุผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ตั้งคณะกรรมการอิสระ)
- การปฏิรูปบทบาทของพรรคในกระบวนการนโยบาย (เช่น เวทีปรึกษาสาธารณะ งบประมาณแบบมีส่วนร่วม)
- การปฏิรูปโครงสร้างภายในพรรค (เช่น การเลือกผู้นำแบบเปิด การใช้เทคโนโลยีเพื่อระดมความเห็น)
โดยเฉพาะมิติที่สองและสาม พรรคสามารถลงมือได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการแก้กฎหมายระดับชาติ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของผู้เขียนที่สนใจการออกแบบเทคโนโลยีเพื่อสร้างอำนาจภายในพรรคและกระบวนการถกเถียงร่วมที่ยั่งยืน
3. กรณีศึกษา: ตัวอย่างนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจริง แต่สะดุดกลางทาง Farrell ยกตัวอย่างกรณีพรรคการเมืองในยุโรปที่ทดลองใช้นวัตกรรม เช่น:
- Agora (เบลเยียม) ใช้ DMPs ในการกำหนดท่าทีของ ส.ส. พรรคในรัฐสภา โดยผูกพันตามผลการอภิปรายของสมาชิก แต่ภายหลังพรรคไม่สามารถรักษาที่นั่งในสภาได้
- PASOK (กรีซ) ใช้ deliberative polling เพื่อเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่น แต่เป็นการจัดเพียงครั้งเดียว
- Demos (โรมาเนีย) เปิดกระบวนการคัดเลือกผู้สมัครโดยการประชุมร่วมกับสมาชิกและผู้สนับสนุน แต่เกิดความขัดแย้งภายในจนไม่สามารถสานต่อได้
- Možemo! (โครเอเชีย) ใช้ thematic groups ร่างนโยบายหาเสียง แต่เมื่อเข้าสู่อำนาจ กลับลดบทบาทของกระบวนการมีส่วนร่วม
- Alternativet (เดนมาร์ก) เริ่มต้นด้วยห้องทดลองนโยบาย แต่จำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นทำให้ยากต่อการรักษารูปแบบ deliberative เดิม
- Les Engagés (เบลเยียม) เริ่มต้นด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม แต่จบลงด้วยการกลับไปสู่ภาวะผู้นำแบบรวมศูนย์
- Die Linke (เยอรมนี) ใช้การพิจารณาร่วมเป็นครั้งคราว เช่น ในประเด็นสิทธิสตรี แต่ไม่ฝังเป็นวัฒนธรรมพรรคถาวร
Farrell ไม่ได้สรุปอย่างชัดเจนว่าเพราะเหตุใดนวัตกรรมในพรรคการเมืองจึงไม่ยั่งยืน แต่เขาเลือกนำเสนอกรณีศึกษาที่หลากหลายเพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นข้อจำกัดที่ปรากฏในบริบทต่าง ๆ ผู้เขียนตีความจากบทความนี้ว่า นวัตกรรมในพรรคการเมืองเผชิญกับอุปสรรคในหลายระดับ ได้แก่
- อุปสรรคเชิงโครงสร้าง เช่น พรรคเล็กที่ไม่สามารถรักษาฐานเสียงหรือที่นั่งในสภาได้
- อุปสรรคเชิงสถาบัน เช่น การขาดวัฒนธรรมพรรคที่เอื้อต่อการพิจารณาร่วมในระยะยาว
- อุปสรรคเชิงอำนาจภายใน เช่น ผู้นำพรรคที่มีลักษณะรวมศูนย์ ทำให้การถกเถียงหดแคบลง
- อุปสรรคเชิงบริหารจัดการ เช่น ความยากลำบากในการดำเนินกระบวนการมีส่วนร่วมในพรรคขนาดใหญ่
- อุปสรรคเชิงบริบทภายนอก เช่น ความเร่งรัดของการเลือกตั้งหรือแรงเฉื่อยจากระบบการเมือง
แม้กรณีเหล่านี้จะสะท้อนความพยายามในการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ปัญหาความไม่ต่อเนื่อง ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคหลักของการพัฒนานวัตกรรมเชิงประชาธิปไตยในพรรคการเมือง
4. บทเรียนต่อการวิจัยเรื่องเทคโนโลยีในพรรคการเมือง Farrell เสนอว่าแม้นวัตกรรมเหล่านี้จะยังไม่เปลี่ยนพรรคการเมืองอย่างถาวร แต่ก็เป็นสัญญาณว่า พรรคการเมืองเริ่มรับเอากระบวนการ deliberation เข้าไว้ในคลังเครื่องมือของตน ทั้งในเชิงวาทกรรมและเชิงปฏิบัติ เทคโนโลยีจึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือสำหรับหาเสียงหรือจัดการฐานข้อมูลสมาชิก แต่สามารถเป็นตัวกลางที่เปิดพื้นที่ให้กับกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้ง
อย่างไรก็ดี พรรคที่เริ่มต้นจากความตั้งใจจะสร้าง “พรรคประชาชน” ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อเปิดพื้นที่ให้เสียงหลากหลาย มักเผชิญกับความยากลำบากในการรักษากระบวนการเหล่านั้นไว้เมื่อเข้าสู่การแข่งขันในสนามเลือกตั้งจริง ซึ่งยิ่งเน้นว่าเทคโนโลยีต้องถูกออกแบบเพื่อรับมือกับความซับซ้อนของอำนาจ และไม่ถูกลดทอนเหลือเพียงการจัดการเทคนิค
5. คุณูปการของบทความ บทความของ David Farrell เรื่อง Democratic Innovation without Political Parties Should Be Unthinkable มีคุณูปการต่อวงการวิชาการอย่างน้อย 3 ประการสำคัญ
1. การปรับจุดเน้นของการวิจัยนวัตกรรมประชาธิปไตย การเสนอว่า พรรคการเมืองยังจำเป็นต่อกระบวนการ deliberation เป็นการเรียกร้องให้วงวิชาการนำสายตากลับมามองสถาบันเก่าแก่แห่งนี้อย่างรอบด้านมากขึ้น (ทั้งในฐานะผู้สร้างปัญหาและผู้ที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไข)
2. การชี้ให้เห็นอุปสรรคเชิงโครงสร้างและบริบท แม้ Farrell ไม่ได้เสนอกรอบทฤษฎีใหม่อย่างเป็นระบบ แต่การรวบรวมกรณีศึกษาจากหลากหลายประเทศ พร้อมทั้งตั้งคำถามกับ “ปัญหาความไม่ต่อเนื่อง” ของกระบวนการมีส่วนร่วมในพรรค ถือเป็นการวางพื้นฐานให้กับงานวิจัยในอนาคตที่ต้องการอธิบายว่า เพราะเหตุใดนวัตกรรมประชาธิปไตยจึงมักไม่ยั่งยืนเมื่อถูกนำไปปฏิบัติในพรรคการเมือง
3. การบูรณาการเทคโนโลยีกับการเมืองภายในพรรค Farrell ไม่ได้มองเทคโนโลยีเพียงในมิติการสื่อสารหรือการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง แต่เสนอว่า เทคโนโลยีสามารถเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับกระบวนการ deliberation ได้ หากถูกออกแบบอย่างเหมาะสม บทความนี้จึงมีศักยภาพในการเชื่อมโยงระหว่างสายวิจัยด้าน digital democracy กับสายวิจัยด้าน party organization ซึ่งมักแยกส่วนกันในโลกวิชาการ
6. แนวทางการศึกษาต่อยอด จากบทความนี้ นักวิจัยสามารถพัฒนาคำถามใหม่ ๆ ได้อีกมาก เช่น:
- อะไรคือเงื่อนไขของ “ความต่อเนื่อง” ของ deliberative innovation ในพรรคการเมือง?
- พรรคการเมืองประเภทใด (ขนาด โครงสร้าง ผู้นำ อุดมการณ์) มีแนวโน้มจะรักษานวัตกรรมไว้ได้ดีกว่า?
- จะออกแบบเทคโนโลยีอย่างไรให้สนับสนุนทั้ง deliberation และความยืดหยุ่นเชิงยุทธศาสตร์ในบริบทการเลือกตั้งจริง?
- มีแนวทางใดบ้างในการสร้าง institutional memory ให้กับนวัตกรรมที่เกิดขึ้นแล้วไม่สูญหายไปตามวัฏจักรของการเมือง?
ในบริบทของไทย ซึ่งพรรคการเมืองยังเปราะบาง การออกแบบเทคโนโลยีและกระบวนการที่เหมาะกับระดับท้องถิ่นและความไม่แน่นอนของการเมือง อาจเป็นจุดตั้งต้นที่สำคัญยิ่งกว่าแนวทางปฏิรูปจากเบื้องบน
สรุป Farrell ไม่เพียงเสนอให้เรากลับมามองพรรคการเมืองในแง่ใหม่ แต่ยังเชื่อมโยงความพยายามปฏิรูปกับการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในทางปฏิบัติ โดยย้ำเตือนว่า พรรคการเมืองไม่ควรถูกมองว่าเป็นองค์กรล้าหลัง หากแต่เป็นสถาบันที่ควรได้รับโอกาสในการเปลี่ยนผ่าน—ด้วยเงื่อนไขที่เอื้อ ทั้งเชิงวัฒนธรรม อำนาจ และเทคโนโลยี บทเรียนสำคัญคือ ความเปลี่ยนแปลงในพรรคต้องการทั้งเจตจำนง ความตั้งใจ และกลไกที่ช่วยรักษาสิ่งที่ดีไว้ได้แม้ในสนามการแข่งขันที่แหลมคม
อ้างอิง
Farrell, D. M. (2025). Democratic innovation without political parties should be unthinkable. Party Politics, 0(0).

