เรียบเรียงโดย Jevon Dixon
นักวิชาการ สถาบันพระปกเกล้า
บรรณาธิการ และผู้แปล: ณัชชาภัทร อมรกุล
ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมประชาธิปไตยเพื่อความยั่งยืน
สถาบันพระปกเกล้า

รู้หรือไม่ว่า ทุกครั้งที่เราเปิดแอปธนาคาร เช็กผลสุขภาพออนไลน์ หรือแปลข้อความจากภาษาอังกฤษ เราก็กำลังใช้ AI อยู่แล้ว เพราะ AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ได้แทรกซึมอยู่ในทุกมุมของสังคมไทยอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ระบบราชการถึงร้านกาแฟ จากโรงพยาบาลถึงไร่นา มันไม่ใช่เรื่องของ “อนาคตที่กำลังจะมา” อีกต่อไป แต่คือ “ปัจจุบันที่เกิดขึ้นจริงแล้ว” ภายใต้ยุทธศาสตร์ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ พ.ศ. 2565–2570 ประเทศไทยกำลังผลักดันการใช้ AI ให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ทั้งในบริการสาธารณะ อุตสาหกรรมหลัก และธุรกิจรายย่อย พร้อมวางรากฐานด้านบุคลากร การกำกับดูแล และโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
แรงขับเคลื่อนสำคัญเริ่มเห็นชัดในภาคบริการ เช่น การเงิน การท่องเที่ยว และโลจิสติกส์ ขณะเดียวกัน เครื่องมือ AI ที่รองรับภาษาไทยก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้น ทำให้ประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการขนาดเล็กสามารถเข้าถึงและใช้งานได้จริง แม้จะฟังดูเหมือนเทคโนโลยีระดับโลก แต่ตัวเลขหนึ่งบอกได้ชัดว่า “AI ไทย” กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะเพียงปีเดียวใน พ.ศ. 2566 ภาครัฐได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการ AI ให้กับกว่า 68 หน่วยงานทั่วประเทศ นี่จึงเป็นสัญญาณว่า ปัญญาประดิษฐ์ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดใหม่อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นกลไกสำคัญในชีวิตประจำวันของคนไทยอย่างแท้จริง
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พบว่า
การใช้ AI ในชีวิตประจำวันของคนไทยแบ่งออกได้เป็น 4 หมวดหลัก
- สร้างและพัฒนาเนื้อหา (Create & Enhance) — 48.5%
ครึ่งหนึ่งของการใช้งานทั้งหมดอยู่ในกลุ่มนี้- 30.4% ใช้เพื่อ “สร้างและสรุปข้อมูล” เช่น เขียนบทความ รายงาน หรือสื่ออัตโนมัติ
- 18.1% ใช้เพื่อ “ปรับปรุงคุณภาพ” ของภาพ เสียง หรือข้อความ
- 2.9% ใช้เพื่อ “แปลและถอดความ”
- วิเคราะห์และคาดการณ์ (Analyse & Predict) — 19.9%
ใช้เพื่อ “มองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่” และ “คาดการณ์แนวโน้มในอนาคต”- 12.9% ใช้ค้นหาและตรวจจับข้อมูล
- 7.0% ใช้พยากรณ์แนวโน้มและความเสี่ยง
- 2.9% ใช้วางแผนและเพิ่มประสิทธิภาพ
- ปกป้องและเฝ้าระวัง (Protect & Monitor) — 12.3%
ใช้เพื่อ “รักษาความปลอดภัย” และ “ป้องกันความเสี่ยง”- 7.6% ป้องกันและตรวจสอบการฉ้อโกง
- 4.7% เฝ้าระวังและแจ้งเตือนเหตุผิดปกติ
- ปรับใช้และทำงานอัตโนมัติ (Personalise & Automate) — 19.3%
ใช้เพื่อ “ทำให้ระบบฉลาดขึ้น” และ “ลดภาระของคน”- 7.0% แนะนำและปรับให้เหมาะกับผู้ใช้
- 6.4% ทำงานอัตโนมัติในกระบวนการต่าง ๆ
การใช้ AI ของคนไทยกว่าเกือบครึ่ง (48.5%) ยังเน้นไปที่ “การสร้างและพัฒนาเนื้อหา” ขณะที่การใช้เพื่อวิเคราะห์ คาดการณ์ หรือทำงานอัตโนมัติยังอยู่ในระดับเริ่มต้น ซึ่งสะท้อนว่าเรายังอยู่ในช่วงของ “การใช้ AI เพื่อทำให้เร็วขึ้น” มากกว่าขั้น “ใช้ AI เพื่อทำให้ฉลาดขึ้น” เราใช้มันเพื่อเขียนได้มากขึ้น สรุปได้ไวขึ้น แต่ยังไม่มากที่ใช้มันเพื่อ “ตั้งคำถามให้ลึกขึ้น” หรือ “เข้าใจปัญหาให้รอบด้าน” ในหลายประเทศ AI ถูกใช้เป็น “ผู้ช่วยคิดเชิงยุทธศาสตร์” ของนักนโยบายและนักวิจัย เพื่อจำลองสถานการณ์ วิเคราะห์ผลกระทบ และเสนอแนวทางใหม่ ๆ ขณะที่ในไทย เราเพิ่งเริ่มใช้มันในฐานะ “ผู้ช่วยพิมพ์งาน” หรือ “ผู้สรุปข้อมูล” ซึ่งแม้มีประโยชน์มาก แต่ยังไม่ถึงระดับของการใช้เพื่อเสริมพลังทางความคิดอย่างแท้จริง
ศักยภาพของ AI ไม่ได้อยู่ที่ความเร็วหรือความแม่นยำเท่านั้น แต่อยู่ที่การเปิดโอกาสให้มนุษย์ใช้เวลาไปกับสิ่งที่สำคัญกว่า เช่น การเข้าใจโลก วิเคราะห์อนาคต และออกแบบสิ่งที่เครื่องจักรยังทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิจารณญาณ ความเห็นอกเห็นใจ หรือจริยธรรม คำถามที่ว่า “เราใช้มันเต็มศักยภาพแล้วหรือยัง” จึงไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของวุฒิภาวะทางสังคม ว่าเราจะให้ AI เป็นเพียงเครื่องมือ หรือให้มันเป็นแรงขับของความคิดที่ลึก รอบคอบ และมีมนุษยธรรมมากขึ้น และเมื่อมองออกจากระดับบุคคลไปยังระดับสังคม เราจะเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ได้อยู่แค่ในหน้าจอของใครคนหนึ่งอีกต่อไป แต่เกิดขึ้นจริงในทุกภาคส่วนของประเทศไทย ตั้งแต่ธนาคาร โรงพยาบาล ไปจนถึงฟาร์มอัจฉริยะ ที่กำลังเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีใช้ชีวิตของคนไทยอย่างไม่อาจย้อนกลับ
AI ในภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคมไทย
- การเงินและการชำระเงิน (Finance & Payments)
ในบรรดาภาคส่วนทั้งหมด “การเงิน” คือพื้นที่ที่ AI ถูกนำมาใช้อย่างเห็นได้ชัดที่สุด และมีผลต่อชีวิตคนไทยแทบทุกคนโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่การเปิดบัญชีออนไลน์ไปจนถึงการตรวจจับธุรกรรมต้องสงสัย ระบบพิสูจน์ตัวตนทางชีวมิติ (Biometric e-KYC) ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของความปลอดภัยในยุคดิจิทัล ช่วยให้การเปิดบัญชีและยืนยันตัวตนทำได้รวดเร็ว แม่นยำ และลดการปลอมแปลงเอกสาร ธนาคารและฟินเทคไทยยังใช้ AI ในการตรวจสอบธุรกรรมแบบเรียลไทม์ คาดการณ์ความเสี่ยง และแจ้งเตือนการทุจริตก่อนที่ความเสียหายจะเกิดขึ้นจริง เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมความปลอดภัยทางการเงิน แต่ยังทำให้การเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชนสะดวกและเท่าเทียมมากขึ้น
AI จึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือขององค์กรใหญ่เท่านั้น แต่กำลังกลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานใหม่” ของระบบการเงินไทย ที่ทำให้การทำธุรกรรมปลอดภัย รวดเร็ว และโปร่งใสกว่าเดิม ซึ่งเป็นการสะท้อนแนวโน้มของเศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยความไว้วางใจและข้อมูลอัจฉริยะ
2. สาธารณสุข (Healthcare)
ในห้องตรวจของโรงพยาบาลไทยยุคใหม่ มีผู้ช่วยคนหนึ่งที่ไม่สวมเสื้อกาวน์แต่ทำงานไม่หยุด นั่นคือ AI
โรงพยาบาลศิริราชและสถาบันชั้นนำหลายแห่งได้เริ่มนำระบบปัญญาประดิษฐ์เข้ามาเสริมงานของแพทย์ โดยเฉพาะในการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ เช่น ภาพเอกซเรย์ทรวงอก แมมโมแกรม และเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ซึ่งต้องอาศัยความละเอียดสูงและความแม่นยำในการวินิจฉัย ระบบ AI สามารถช่วยระบุความผิดปกติได้ในเวลาไม่กี่วินาที และลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องอ่านภาพนับร้อยต่อวัน ดังนั้น AI ยังไม่ได้มาแทนแพทย์ แต่ทำหน้าที่เป็น “ดวงตาคู่ที่สอง” คือช่วยตรวจซ้ำ เสริมความมั่นใจ และช่วยให้การตัดสินใจมีข้อมูลสนับสนุนมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยีนี้จึงช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ ทำให้คนไข้ในต่างจังหวัดได้รับบริการมาตรฐานเดียวกับในเมืองใหญ่
AI ในระบบสาธารณสุขของไทยจึงไม่ใช่แค่เรื่องของนวัตกรรม แต่คือ การคืนเวลาให้หมอ และคืนความแม่นยำให้กับการรักษา ทำให้คำว่า “สุขภาพดี” กลายเป็นสิทธิที่เท่าเทียมยิ่งขึ้นสำหรับคนไทยทุกคน
3. เกษตรกรรม (Agriculture)
กลางแดดแรงของท้องนาไทยยุคใหม่ ไม่ได้มีแค่เกษตรกรกับจอบเสียม แต่ยังมี “สมองกล” ที่ช่วยคิดแทนและเตือนก่อนภัยจะมา นั่นคือ AI ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) พัฒนา “ฟาร์มอัจฉริยะ” ที่ใช้เซนเซอร์และระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยเกษตรกรรู้ว่าเมื่อไรควรรดน้ำ เมื่อไรควรใส่ปุ๋ย หรือแม้แต่คาดการณ์โรคพืชล่วงหน้าได้ก่อนจะลุกลาม ระบบนี้ยังประเมินผลผลิตในอนาคต ช่วยให้เกษตรกรวางแผนขายได้แม่นยำขึ้น
สิ่งที่น่าทึ่งคือ เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในเมืองใหญ่ แต่ถูกออกแบบมาให้ทำงานได้จริงในพื้นที่ชนบท ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และลดความเสี่ยงจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างคาดเดาไม่ได้
4. การท่องเที่ยว (Tourism)
ในโลกที่นักท่องเที่ยวค้นหาทุกอย่างผ่านปลายนิ้ว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เปิดตัว “ผู้ช่วยท่องเที่ยวอัจฉริยะ” ที่พูดได้หลายภาษา และรู้จักเมืองไทยเหมือนคนในพื้นที่ AI ผู้ช่วยนี้สามารถแนะนำเส้นทางที่เหมาะกับแต่ละคน วางแผนการเดินทางแบบเรียลไทม์ แจ้งสภาพอากาศ หรือแนะนำร้านอาหารและที่พักโดยไม่ต้องพึ่งคู่มือท่องเที่ยวหนา ๆ อีกต่อไป ที่สำคัญ มันช่วยกระจายการท่องเที่ยวออกจากพื้นที่ยอดนิยม สู่เมืองรองและชุมชนท้องถิ่นที่ซ่อนเสน่ห์ไว้มากมาย สำหรับประเทศไทยซึ่งอาศัย “รอยยิ้ม” เป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม
การมี AI เข้ามาเติมเต็มจึงไม่ใช่การแทนมนุษย์ แต่คือการทำให้รอยยิ้มนั้นเข้าถึงนักเดินทางได้กว้างและอบอุ่นกว่าเดิม AI จึงกลายเป็น “มัคคุเทศก์ดิจิทัล” ที่ช่วยให้การเดินทางในเมืองไทยราบรื่น มีประสิทธิภาพ และยังคงความเป็นมิตรแบบไทย ๆ ที่ไม่มีเทคโนโลยีใดแทนได้
5. บริการภาครัฐ (Government Services)
ในอดีต การติดต่อหน่วยงานรัฐอาจหมายถึงเอกสารกองโตและเวลารอคิวยาวเหยียด
แต่วันนี้ “ข้าราชการดิจิทัล” กำลังเกิดขึ้นในรูปแบบใหม่ อาจเป็นแชตบอตที่พูดภาษาไทยได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models: LLMs) ที่พัฒนาโดยทีมไทย ระบบ AI เหล่านี้ช่วยตอบคำถาม แจ้งข้อมูล และแนะนำขั้นตอนการขอรับบริการต่าง ๆ ให้ประชาชนเข้าใจง่ายขึ้น ลดภาระของเจ้าหน้าที่ และเปิดโอกาสให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงข้อมูลได้เท่าเทียม
AI ยังถูกนำไปช่วยวิเคราะห์ข้อมูลนโยบายและปรับปรุงการทำงานของรัฐ เช่น การคาดการณ์ความต้องการบริการสาธารณะ หรือการช่วย SME ไทยพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลให้ทันสมัยขึ้น AI จึงไม่ใช่ “เครื่องจักรของรัฐ” แต่คือ “ช่องทางของประชาชน” ที่ช่วยให้ภาครัฐพูดกับคนไทยได้เร็วขึ้น ชัดขึ้น และเข้าใจมากขึ้น
6. การค้าปลีก โลจิสติกส์ และการผลิต (Retail, Logistics & Manufacturing)
เบื้องหลังแพ็กเกจที่ส่งถึงมือคุณในหนึ่งวัน หรือสินค้าที่ไม่เคยขาดชั้นวางในซูเปอร์มาร์เก็ต
มีเครือข่ายของ “AI ที่มองไม่เห็น” กำลังทำงานอยู่ตลอดเวลา AI ช่วยให้บริษัทโลจิสติกส์วิเคราะห์เส้นทางจัดส่งที่เร็วและประหยัดที่สุด โรงงานใช้ระบบตรวจสอบคุณภาพสินค้าแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ทุกชิ้นได้มาตรฐาน ขณะที่ร้านค้าปลีกใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค คาดการณ์ยอดขาย และปรับสต็อกให้พอดีไม่สูญเปล่า
ผลลัพธ์คือระบบเศรษฐกิจไทยที่ขับเคลื่อนด้วย “ความแม่นยำ” และ “ความเร็ว” มากกว่าเดิม
AI ไม่ได้มาแทนแรงงานคน แต่ช่วยให้ทุกคนทำงานฉลาดขึ้น ผลิตได้มากขึ้น และส่งมอบสินค้าได้ตรงเวลา
7. การใช้งานส่วนบุคคล (Personal Tasks)
ในแต่ละวัน คนไทยจำนวนมากอาจไม่ได้รู้เลยว่า “ผู้ช่วยส่วนตัวคนใหม่ของพวกเขา” ไม่ได้อยู่ในบ้าน แต่อยู่ในจอมือถือ และมีชื่อว่า AI
ไม่ว่าจะเป็นการร่างข้อความสำคัญก่อนส่งอีเมล การสรุปบทความยาวให้เหลือใจความไม่กี่บรรทัด การแปลภาษาสำหรับประชุม หรือการถอดเสียงจากเสียงบันทึกประชุม เครื่องมือ AI กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างแนบเนียน AI ยังช่วยให้คนทำงานอิสระ นักเรียน นักวิจัย และเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก สามารถทำงานได้เร็วขึ้นและมีคุณภาพมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องมีทีมใหญ่หรือเครื่องมือราคาแพงอีกต่อไป เพราะวันนี้ แค่มีสมาร์ตโฟนและอินเทอร์เน็ต ก็มี “ผู้ช่วยอัจฉริยะ” อยู่ข้างตัวตลอดเวลา
เมื่อมองย้อนกลับจากภาพทั้งหมด จะเห็นว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีใหม่ แต่กลายเป็น “สาธารณูปโภคทางปัญญา” ที่อยู่ในทุกกิจกรรมของคนไทย ตั้งแต่ธุรกรรมทางการเงิน การแพทย์ การเกษตร การท่องเที่ยว ไปจนถึงชีวิตประจำวันในโทรศัพท์มือถือของเราเอง มันช่วยให้การทำงานรวดเร็วขึ้น แม่นยำขึ้น และเชื่อมโยงผู้คนกับข้อมูลอย่างไม่เคยมีมาก่อน
แต่ในขณะที่เรากำลังใช้ AI เพื่อสร้าง สรุป และอำนวยความสะดวกในชีวิต เราอาจต้องเริ่มถามตัวเองว่า เราใช้มันเต็มศักยภาพแล้วหรือยัง เราใช้มันเพียงเพื่อทำให้ชีวิตง่ายขึ้น หรือใช้มันเพื่อทำให้ความคิดของเราลึกขึ้น รอบคอบขึ้น และมีจินตนาการมากขึ้น
คำถามนี้อาจไม่ต้องการคำตอบทันที แต่เป็นจุดเริ่มต้นให้เราคิดต่อว่า “อนาคตของ AI ในสังคมไทย” จะก้าวไปทางไหน และมนุษย์จะเลือกเดินไปพร้อมกับมันอย่างไร

