Articles

รัฐสภาในฐานะแกนกลางการเดินทาง: บทเรียนจาก 6 ประเด็น OECD กับผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชน

Mr. František Ružička รองเลขาธิการองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) กล่าวในงานปาฐกถาเรื่อง “การปฏิรูปและการปรับปรุงกฎหมายเพื่อมุ่งมั่นสู่การเป็นสมาชิก OECD” ณ รัฐสภา เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 ว่า กระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD จะทำหน้าที่สนับสนุนการปฏิรูปตลาดของประเทศไทยผ่านบทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยเสนอให้คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการดำเนินงานใน 6 ด้านหลัก ได้แก่ การเสริมสร้างการแข่งขัน การยกระดับกฎระเบียบ การต่อต้านคอร์รัปชัน ความซื่อสัตย์สุจริตภาครัฐ การพัฒนาทักษะแรงงาน และการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งทุกด้านล้วนต้องพึ่งพาการออกแบบกฎหมาย การกำกับดูแล และการบังคับใช้ของรัฐสภาเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน

ทั้ง 6 ด้านที่รองเลขาธิการ OECD เสนอให้ให้ความสำคัญ ประกอบด้วย (1) การเสริมสร้างการแข่งขัน เพื่อปลดล็อกผลิตภาพ นวัตกรรม และประสิทธิภาพของตลาด โดยต้องมีกฎหมายที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและบังคับใช้อย่างเท่าเทียมต่อทุกกิจการ (2) การยกระดับกฎระเบียบ โดยเพิ่มความเข้มแข็งด้านการกำกับดูแล ความรับผิดรับชอบ และขีดความสามารถของฝ่ายบริหาร รวมถึงการปรับปรุงแนวทางการบังคับใช้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (3) การต่อต้านคอร์รัปชัน ผ่านการพัฒนากรอบกฎหมายอย่างครอบคลุม สอดคล้องกับมาตรฐานของ OECD และเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย ควบคู่กับนโยบายอื่นที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก เช่น การค้า การเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศ และดิจิทัล

นอกจากนี้ ยังรวมถึง (4) การยกระดับความซื่อสัตย์สุจริตภาครัฐ โดยเฉพาะความมุ่งมั่นในการเข้าร่วมอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการให้สินบน เพื่อยกระดับมาตรฐานสากล ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งในทางปฏิบัติจะนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายและบทลงโทษให้มีความเข้มงวดมากขึ้น (5) การพัฒนาทักษะแรงงาน โดยเน้นบทบาทของการศึกษาและการปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากเทคโนโลยี และ (6) การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ โดยวางกติกาให้กิจการของรัฐและภาคเอกชนดำเนินงานภายใต้เส้นทางและโอกาสเดียวกัน เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและการยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ในระยะกลางและระยะยาว

เมื่อพิจารณาในมิติของบทบาทรัฐสภา ทั้งหกประเด็นสะท้อนชัดว่า การปฏิรูปตลาดไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการกำหนดนโยบายของฝ่ายบริหารเพียงฝ่ายเดียว การเสริมสร้างการแข่งขันจำเป็นต้องมีกฎหมายที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและบังคับใช้อย่างเท่าเทียมต่อทุกกิจการ การยกระดับกฎระเบียบต้องอาศัยกรอบกฎหมายที่เพิ่มความเข้มแข็งด้านการกำกับดูแล ความรับผิดรับชอบ และขีดความสามารถของฝ่ายบริหาร การต่อต้านคอร์รัปชันต้องพัฒนากฎหมายอย่างเป็นระบบให้สะท้อนทั้งมาตรฐาน OECD และบริบทของสังคมไทย ขณะเดียวกัน การยกระดับความซื่อสัตย์สุจริตภาครัฐผ่านความมุ่งมั่นเข้าร่วมอนุสัญญาต่อต้านการให้สินบน จะนำไปสู่การปรับปรุงบทลงโทษและกฎหมายให้มีความเข้มงวดมากขึ้น ในส่วนของทักษะแรงงาน รัฐสภามีบทบาทในการเชื่อมโยงระบบการศึกษาเข้ากับความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากเทคโนโลยี ส่วนการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจจำเป็นต้องวางกติกาให้กิจการของรัฐและเอกชนดำเนินงานภายใต้เส้นทางและโอกาสเดียวกัน เพื่อสนับสนุนการเติบโตในระยะกลางและระยะยาว

เมื่อเชื่อมโยงทั้งหกประเด็นเข้ากับการวิเคราะห์ด้านความเชื่อมั่นและต้นทุนทางเศรษฐกิจ จะเห็นว่าแก่นของข้อเสนอเหล่านี้มุ่งลดต้นทุนเชิงโครงสร้างที่ฝังอยู่ในระบบเศรษฐกิจไทย การบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันอย่างเท่าเทียม การกำกับดูแลที่โปร่งใส และกรอบการต่อต้านคอร์รัปชันที่ชัดเจน จะช่วยลดความไม่แน่นอนและความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ ขณะเดียวกัน การยกระดับความซื่อสัตย์สุจริตภาครัฐและการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจจะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ส่วนการพัฒนาทักษะแรงงานจะช่วยลดต้นทุนในระยะยาวจากปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะสอดคล้องกับตลาด

ในภาพรวม ปาฐกถาครั้งนี้สะท้อนว่า กระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD ถูกใช้เป็นกรอบสนับสนุนให้รัฐสภาไทยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการปฏิรูปตลาด ผ่านการออกแบบและปรับปรุงกฎหมายใน 6 ด้านที่ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่น ประสิทธิภาพ และต้นทุนของระบบเศรษฐกิจ หากรัฐสภาสามารถแปลงข้อเสนอเหล่านี้ให้เป็นกติกาที่ชัดเจนและบังคับใช้ได้จริง การปฏิรูปตลาดของไทยจะมีฐานที่มั่นคงและยั่งยืนมากขึ้น

เมื่อพิจารณาผ่านมุมของประชาชน ผลกระทบของทั้งหกประเด็นไม่ได้เกิดขึ้นแบบฉับพลัน หากแต่ค่อย ๆ ส่งผ่านมาทาง “กติกา” ที่กำหนดว่าประชาชนจะดำรงอยู่ในตลาดลักษณะใด และต้องแบกรับต้นทุนในรูปแบบใด การที่รัฐสภายกระดับกฎหมายการแข่งขันและกฎระเบียบให้บังคับใช้อย่างเท่าเทียม จะทำให้ประชาชนในฐานะผู้บริโภคและผู้ประกอบการรายย่อยเผชิญตลาดที่เปิดกว้างขึ้น ราคาสินค้าและบริการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น และโอกาสทางเศรษฐกิจไม่กระจุกอยู่กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ขณะเดียวกัน การกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพและตรวจสอบได้ จะช่วยลดภาระทางอ้อมจากกฎที่ซ้ำซ้อน คลุมเครือ หรือเลือกปฏิบัติ

ในมิติของความเชื่อมั่นและต้นทุนทางเศรษฐกิจ ผลต่อประชาชนยิ่งเห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน การต่อต้านคอร์รัปชันและการยกระดับความซื่อสัตย์สุจริตภาครัฐ ไม่ได้หมายถึงเพียงการเพิ่มบทลงโทษทางกฎหมาย แต่หมายถึงการลดต้นทุนแฝงที่ประชาชนต้องจ่ายโดยไม่สมัครใจ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนจากความล่าช้า ความไม่แน่นอน หรือการเข้าถึงบริการของรัฐอย่างไม่เท่าเทียม เมื่อกติกามีความชัดเจนและบังคับใช้ได้จริง ความเชื่อมั่นในระบบจะเพิ่มขึ้น และภาระที่ตกอยู่กับประชาชนในฐานะผู้เสียภาษี ผู้ใช้บริการ และแรงงาน จะค่อย ๆ ลดลงอย่างเป็นรูปธรรม

Leave a comment